ตะแบก
ตะแบก
ชื่อพื้นเมือง :กระแบก,
ตะแบกไข่, ตะเเบก, เปื๋อยด้อง, เปื๋อยนา, เปื๋อยหางค่าง
ชื่อสามัญ : Bungor
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Lagerstroemia floribunda Jack
ชื่อวงศ์ : Lythraceae
ด้านนิเวศวิทยา
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ต้นตะแบก
จัดเป็นพรรณไม้ยืนต้นกึ่งผลัดใบขนาดกลางถึงขนาดใหญ่
มีความสูงได้ประมาณ 15-35
เมตร เรือนยอดเป็นรูปเจดีย์ต่ำ ๆ แตกกิ่งก้านสาขาออกรอบต้น
เปลือกลำต้นเกลี้ยงเป็นสีเทาอมเหลือง หรือสีน้ำตาลอมเทา มีรอยขรุขระเป็นหลุมตื้น ๆ
เกิดจากสะเก็ดแผ่นบาง ๆ ของเปลือกที่หลุดร่วงไป ดูคล้ายกับเปลือกต้นฝรั่ง
แต่จะมีจุดด่างขาว ๆ อยู่ตามลำต้น ทางตอนบนของลำต้นจะค่อนข้างเรียบ
ส่วนเปลือกชั้นในเป็นสีชมพูอมม่วง ซ้อนกันเป็นชั้น ๆ สลับกับชั้นลายเส้นสีขาว
โคนต้นเป็นพูพอนชัดเจน ตรงส่วนที่เป็นพูพอนมักจะกลวงขึ้นไปประมาณ 3-5 เมตรจากผิวดิน ตามกิ่งอ่อนมีขนสีน้ำตาลสาก ๆ ขึ้นหนาแน่น
เนื้อไม้มีความแข็งประมาณ 628 กก. ความถ่วงจำเพาะประมาณ 0.68
ความแข็งแรงประมาณ 1,219 กก./ตร.ซม.
ความเหนียวประมาณ 2.89-กก.-ม. ความดื้อประมาณ 112,700
กก.ตร.ซม. และมีความทนทานตามธรรมชาติ ตั้งแต่ 3-17 ปี เฉลี่ยประมาณ 9.4 ปี อาบน้ำยาไม้ได้ยากมาก
(ชั้นที่ 5) ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด พบขึ้นในป่าราบ ป่าดงดิบ
และป่าเบญจพรรณชื้นและแล้งทั่วไปทางภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงใต้ ที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 100-400
เมตร พบได้มากที่ป่ายุบศรีราชา (ต้นตะแบกที่ขึ้นในป่าดงดิบจะไม่ผลัดใบ
ใบตะแบก
ใบเป็นใบเดี่ยว
ออกเรียงสลับกัน บางทีออกเรียงเกือบตรงข้าม
ลักษณะของใบเป็นรูปไข่หรือรูปขอบขนานแกมรูปหอก เห็นตาง่ามชัดเจน
ใบมีขนาดเล็กกว่าใบอินทนิลน้ำ (ขนาด 2 ใน 3 ส่วน) ปลายใบทู่
โคนใบทู่หรือกลม ใบมีขนาดกว้างประมาณ 3-6 เซนติเมตร
และยาวประมาณ 7-14 เซนติเมตร แผ่นใบเป็นสีเขียว
หลังใบเกลี้ยงหรือเกือบเกลี้ยง ส่วนท้องใบมีขนสีน้ำตาลสาก ๆ ขึ้นหนาแน่น
ตะแบกเป็นไม้กึ่งผลัดใบ ซึ่งจะผลัดใบหรือไม่ผลัดใบก็ได้
แต่ถ้าผลัดใบก็จะผลัดใบในช่วงประมาณเดือนธันวาคมถึงเดือนมีนาคม และจะแตกใบใหม่ในช่วงประมาณเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนพฤษภาคม
ดอกตะแบก
ออกดอกเป็นช่อแบบเป็นกลุ่มย่อย
ออกเป็นช่อโต ๆ ตามปลายกิ่ง ตามส่วนต่าง ๆ จะมีขนสาก ๆ ขึ้นทั่วไป ดอกจะมีขนาดเล็ก
เมื่อบานเต็มที่จะมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 0.5-1.5 เซนติเมตร ดอกมีกลีบดอก 6 กลีบ แยกจากกันเป็นอิสระ โคนกลีบติดกับผนังด้านในของถ้วยกลีบเลี้ยง
โคนกลีบดอกแคบ ส่วนปลายกลีบจะเป็นแผ่นกลม ๆ สีขาวหรือสีม่วงอมชมพูอ่อน ๆ
ส่วนกลีบเลี้ยงมี 6 กลีบ
โคนกลีบเลี้ยงเชื่อมติดกันเป็นรูปถ้วย ปลายแยกออกเป็น 6 แฉก
(เรียกว่า “ถ้วยกลีบเลี้ยง”) มีขนสีสนิมขึ้นปกคลุม
ดอกมีเกสรเพศผู้จำนวนมาก ขนาดไล่เลี่ยกัน
ออกดอกในช่วงฤดูร้อนระหว่างเดือนมีนาคมถึงเดือนพฤษภาคม
เวลาดอกบานต้นทั้งต้นจะมีอยู่ 2 สี ดูสวยงามมาก
ผลตะแบก
เมื่อดอกร่วงจะติดผล
ผลตะแบกจะเป็นผลแห้งที่เมื่อแก่แล้วจะแห้งแตกออกเป็น 6 แฉก
ถ้วยกลีบเลี้ยงจะหุ้มโคนของผลเช่นเดียวกับอินทนิลน้ำและอินทนิลบก ผลมีขนาดเล็ก
ลักษณะของผลเป็นรูปไข่ ยาวประมาณ 0.8-1 เซนติเมตร
ผลแก่เป็นสีน้ำตาล แข็ง เมื่อแก่จะแตก ภายในมีเมล็ดจำนวนมาก มีปีก
เมล็ดเป็นสีน้ำตาลเข้ม ผลตะแบกจะเริ่มแก่ในช่วงประมาณเดือนตุลาคมถึงเดือนธันวาคม
เมล็ดจะร่วงหล่นเมื่อเปลือกผลแตกและอ้า
ขอนดอก
เป็นเนื้อไม้ที่ได้จากต้นตะแบกหรือต้นพิกุลที่มีราลง
เนื้อไม้จะมีลักษณะเป็นสีน้ำตาลเข้มประขาว มองเห็นเป็นจุดสีขาวกระจายทั่วไป
ภายในผุเป็นโพรงเล็ก ๆ และมีกลิ่นหอม รสจืด
ขอนดอกอาจจะเป็นเนื้อไม้ที่ได้จากต้นตะแบกหรือต้นพิกุลก็ได้ที่มีอายุมาก ๆ
ยอดหักเป็นโพรง มักมีเชื้อราเข้าไปเจริญในเนื้อไม้และไม้ยืนต้นตาย
เนื้อไม้จึงเหมือนไม้ผุ
ด้านสรรพคุณ
เปลือกไม้บำรุงปอด
บำรุงตับ บำรุงหัวใจ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น