ตะเคียน
ตะเคียน
ชื่อพื้นเมือง : กะกี้ โกกี้ แคน จะเคียน จูเค้ โซเก ตะเคียน
ชื่อสามัญ : Iron Wood
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Hopea
odorata Roxb.
ชื่อวงศ์ :
Hopea odorata Roxb.
ด้านนิเวศวิทยา
เอเชียเขตร้อน
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
นตะเคียนทอง จัดเป็นไม้ยืนต้นไม่ผลัดใบขนาดใหญ่
ลำต้นเปลาตรง มีความสูงของต้นประมาณ 20-40 เมตร
วัดรอบได้ถึงหรือกว่า 300 เซนติเมตร
ลักษณะของเรือนยอดเป็นทรงพุ่มทึบ กลม หรือเป็นรูปเจดีย์แบบต่ำ ๆ
เปลือกต้นหนาเป็นสีน้ำตาลดำ แตกเป็นสะเก็ด กะพื้นเป็นสีน้ำตาลอ่อน ส่วนแก่นไม้ตะเคียนเป็นสีน้ำตาลแดง
ลักษณะของไม้ตะเคียน เนื้อไม้เป็นสีเหลืองหม่นหรือสีน้ำตาลอมสีเหลือง
มักมีเส้นสีขาวหรือเทาขาวผ่านเสมอ ซึ่งเป็นท่อน้ำมันหรือยาง
เนื้อไม้มีความละเอียดปานกลาง เสี้ยนมักสน ไม้แข็ง เหนียว ทนทาน และเด้งตัวได้มาก
นิยมขยายพันธุ์ด้วยวิธีการผลิตกล้าจากเมล็ด เจริญเติบโตได้ดีที่ระดับความสูงประมาณ
130-300 เมตร
และเป็นดินร่วนปนทรายที่มีความอุดมสมบูรณ์และรายน้ำได้ดี มีเขตการกระจายพันธุ์ตามธรรมชาติทางตอนใต้และทางตอนตะวันออกเฉียงใต้ของทวีปเอเชียในแถบประเทศไทย
ลาว พม่า กัมพูชา เวียดนาม และมาเลเซีย โดยเป็นไม้ในป่าดงดิบที่มักขึ้นเป็นหมู่กระจัดกระจายอยู่ตามที่ราบ
หรือในที่ค่อนข้างราบใกล้ฝั่งแม่น้ำ[1] ตามป่าดิบใกล้ลำธาร
ที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 100-800 เมตร
บตะเคียนทอง ใบเป็นใบเดี่ยว
ลักษณะของใบเป็นรูปไข่แกมรูปใบหอกหรือรูปดาบ ปลายใบเรียว ส่วนโคนใบมนป้านและเบี้ยว
ใบมีขนาดกว้างประมาณ 3-6 เซนติเมตรและยาวประมาณ 10-15
เซนติเมตร แผ่นใบบางแต่ค่อนข้างเหนียว หลังใบเกลี้ยงเป็นมัน
ท้องใบมีตุ่มหูดหรือตุ่มดอมเมเซียเกลี้ยง ๆ อยู่ตามง่ามแขนงของใบ
ใบมีเส้นแขนงใบประมาณ 9-13 คู่ ปลายโค้งแต่ไม่จรดกัน
เชื่อมใบย่อยเชื่อมกันเป็นขั้นบันได ส่วนหูใบมีลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยม
ดอกตะเคียนทอง ออกดอกเป็นช่อยาวแบบช่อแยกแขนงตามปลายกิ่งและตามง่ามใบ
มีดอกย่อยอยู่ช่อละประมาณ 40-50 ดอก ช่อดอกมีความยาวประมาณ 5-7
เซนติเมตร ดอกเป็นสีเหลืองแกมสีน้ำตาลขนาดเล็ก
มีกลิ่นหอมและมีขนนุ่ม ดอกมีกลีบดอก 5 กลีบ
เมื่อดอกบานเต็มที่กลีบดอกจะบิดเป็นกงจักร มีขนาดของดอกประมาณ 0.3-1 เซนติเมตร กลีบดอก 3-5 มิลลิเมตร ปลายกลีบดอกหยัก
ส่วนล่างกลีบบิดและเชื่อมติดกัน ดอกมีเกสรตัวผู้ 15 อัน
อับเรณูมียอดแหลม ส่วนเกสรตัวเมียมีรังไข่เหนือวงกลีบ ลักษณะเรียวเล็ก มีความยาวเท่ากับรังไข่
เมื่อหลุดจะร่วงทั้งชั้นรวมทั้งเกสรตัวผู้ติดไปด้วย และดอกยังมีกลีบเลี้ยงขนาดเล็ก
5 กลีบ โดยจะออกดอกในช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนมีนาคม
แต่จะไม่ออกดอกทุกปี และช่วงที่ดอกออกมากจะมีประมาณ 3-5 ครั้งต่อปี[
ผลตะเคียนทอง ผลเป็นผลแห้งไม่แตก ผลเป็นสีเขียวอ่อน
เมื่อสุกจะเป็นสีน้ำตาลเข้ม ผลมีลักษณะกลมหรือเป็นรูปไข่เกลี้ยง
ผลมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 0.6 เซนติเมตร
(มีขนาดไม่เกิน 1 เซนติเมตร) ปลายมนเป็นติ่งคล้ายหนามแหลม
มีปีกยาว 1 คู่ ลักษณะเป็นรูปใบพาย ยาวประมาณ 4-6 เซนติเมตร ปลายปีกกว้างประมาณ 1 เซนติเมตร และค่อย ๆ
เรียวสอบมาทางด้านโคนปีก เส้นปีกตามยาวประมาณ 9-11 เส้น
และยังมีปีกสั้นอีก 3 ปีกซ้อนกัน
มีความยาวไม่เกินความยาวของตัวผลหรือยาวน้อยกว่า 0.5 เซนติเมตร
ปีกจะซ้อนกันอยู่ แต่จะหุ้มส่วนกลางผลไม่มิด โดยในหนึ่งผลจะมีเมล็ด 1 เมล็ด เมล็ดมีลักษณะค่อนข้างกลมสีน้ำตาล
โดยปลีกเหล่านี้จะมีหน้าที่ห่อหุ้มผลและสามารถพาผลให้ปลิวไปตามลมได้ไกลออกไปจากต้นแม่
และจะเป็นผลในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนเมษายน[
ด้านสรรพคุณ
-แก่นมีรสขมอมหวาน
ช่วยแก้โลหิตและกำเดา (แก่น)
-ช่วยคุมธาตุ (เนื้อไม้) ปิดธาตุ
(แก่น,ยาง)
-ช่วยแก้ไข้สัมประชวรหรือไข้ที่เกิดมาจากหลายสาเหตุ
และมักมีอาการแสดงที่ตา เช่น แดง เหลือง หรือขุ่นคล้ำ เป็นต้น (แก่น)
-แก่นไม้ตะเคียนใช้ผสมกับยารักษาทางเลือดลม
กษัย (แก่น)
-ช่วยแก้อาการลงแดง (เปลือกต้น)
-ช่วยขับเสมหะ (แก่น)
-เปลือกต้นนำมาต้มกับเกลือ
ใช้อมช่วยป้องกันฟันหลุดเนื่องจากกินยาเข้าปรอท (เปลือกต้น)
-ช่วยแก้อาการปวดฟัน แก้เหงือกบวม
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น