ปีบทอง
ปีปทอง
ชื่อพื้นเมือง : จางจืด, แคชาญชัย, แคเป๊าะ,
สำเภาหลามต้น, กากี, อ้อยช้าง, ปีบทอง, กาสะลอง
ชื่อสามัญ : Tree jasmine
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Mayodendron
igneum
ชื่อวงศ์ : Bignoniaceae
ด้านนิเวศวิทยา
มีเขตการกระจายพันธุ์กว้างตั้งแต่ในประเทศจีนตอนใต้
พม่า ลาว และเวียดนาม
ส่วนในประเทศไทยพบได้ตั้งแต่ทางภาคใต้ในแถบจังหวัดสุราษฎร์ธานี เพชรบุรี อุทัยธานี
ขึ้นไปถึงทางภาคเหนือของประเทศ
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ต้นปีบทอง หรือ ต้นกาซะลองคำ
มีเขตการกระจายพันธุ์กว้างตั้งแต่ในประเทศจีนตอนใต้
พม่า ลาว และเวียดนาม
ส่วนในประเทศไทยพบได้ตั้งแต่ทางภาคใต้ในแถบจังหวัดสุราษฎร์ธานี เพชรบุรี อุทัยธานี
ขึ้นไปถึงทางภาคเหนือของประเทศ จัดเป็นไม้ยืนต้นเล็กถึงขนาดกลาง
และเป็นไม้ผลัดใบแต่จะผลัดไม่พร้อมกัน มีความสูงของต้นประมาณ 6-20 เมตร
ต้นมีเรือนยอดเป็นรูปใบหอกหรือไข่ ทรงพุ่มแน่นทึบ กิ่งก้านแผ่ออกเป็นชั้น ๆ
ออกกว้าง ลำต้นมีลักษณะเปลาตรง
ตามกิ่งก้านและตามลำต้นจะมีรูระบายอากาศกระจายอยู่ทั่วไป
เปลือกต้นเป็นสีน้ำตาลอ่อน แตกเป็นลายประสานกันคล้ายตาข่าย เปลือกต้นขรุขระเป็นเม็ดเล็ก
ๆ กระจายอยู่ทั่วไป ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด การตอนกิ่ง การปักชำกิ่ง
และการแยกหน่อ เจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนปนทราย สามารถพบได้ตามป่าเบญจพรรณ
ตามชายดิบแล้งตามเชิงเขา และตามเขาหินปูน ที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,000
เมตร
ใบปีบทอง
ใบเป็นใบประกอบแบบขนนกแบบสามชั้น
ยาวประมาณ 18-60 เซนติเมตรเรียงตรงข้ามกัน มีใบประกอบย่อยประมาณ 3-4 คู่
ส่วนใบย่อยมีประมาณ 3-5 คู่ ลักษณะของใบเป็นรูปไข่แกมรูปหอก
รูปขอบขนานแกมใบหอก หรือรูปวงรีแกมใบหอก
ปลายใบแหลมบางครั้งยาวคล้ายหางหรือเป็นติ่งแหลม โคนใบแหลมสอบ
หรือบางใบโคนในอาจเบี้ยวเล็กน้อย ส่วนขอบใบเรียบบิดเป็นคลื่น ๆ เล็กน้อย
และมักมีต่อมอยู่ที่โคนด้านหลังของใบ ใบมีขนาดกว้างประมาณ 2-6 เซนติเมตรและยาวประมาณ 5-12 เซนติเมตร
แผ่นใบมีลักษณะเป็นมัน ท้องใบมีต่อมเล็ก ๆ อยู่ประปรายทั่วไป
และก้านใบย่อยยาวประมาณ 0.6-0.8 เซนติเมตร
ส่วนก้านใบปลายยาวประมาณ 2.5 เซนติเมตร
ดอกปีบทอง ออกดอกเป็นช่อสั้น ๆ
หรือออกเป็นช่อกระจุกทั่วไปตามกิ่งก้านและตามลำต้น ในหนึ่งกระจุกจะมีดอกอยู่ประมาณ
3-10 ดอก และจะทยอยบานครั้งละ 3-5 ดอก
ดอกมีก้านช่อดอกสีน้ำตาลอมสีแดงและมีขนอ่อน ๆ ขึ้นอยู่ประราย ก้านช่อดอกยาวประมาณ 1-2
เซนติเมตร และยังมีกลีบเลี้ยงหรือกลีบรองดอกที่เป็นสีน้ำตาลอมสีแดง
ยาวประมาณ 1-1.5 เซนติเมตร มีรอยผ่าเปิดด้านเดียว
ด้านหน้าตามทางยาวติดกันเป็นหลอดห่อหุ้มกลีบดอก
ส่วนกลีบดอกจะเชื่อมติดกันเป็นหลอดรูปทรงกระบอกโคนแคบ ตรงกลางค่อย ๆ โป่งออก
หรือเป็นรูปกรวยหรือเชื่อมติดกันเป็นรูประฆังยาว ปลายกลีบดอกแยกเป็นกลีบ 5 กลีบ มีลักษณะบานแผ่และม้วนลงด้านนอก ดอกมีเกสรเพศผู้อยู่ 4 อัน โผล่ออกมาเสมอปากกลีบดอก ดอกมีเกสรเพศผู้มีขนขึ้นปกคลุม
ส่วนยอดเกสรเพศเมียแยกเป็นแฉก 2 แฉก
เมื่อดอกบานเต็มที่จะกว้างประมาณ 1.5-2 เซนติเมตรและยาวประมาณ
5-7 เซนติเมตร โดยดอกจะบานอยู่ประมาณ 1-2 วัน แล้วจะร่วงหล่นและดอกใหม่ก็จะทยอยบานขึ้นมาแทนที่
ผลปีบทอง
ผลเป็นผลแห้ง
ลักษณะของผลเป็นรูปฝักดาบยาวและห้อยลง
หรือเป็นรูปทรงกระบอกยาวเรียวคล้ายกับฝักของถั่วฝักยาว ฝักมีขนาดกว้างประมาณ 0.5-0.7 เซนติเมตรและมีความยาวประมาณ
30-45 เซนติเมตร ฝักเมื่อแก่จะบิดเวียนเป็นเกลียวเล็กน้อย
เมื่อฝักแห้งจะแตกได้เป็นพู 2 พู หรือ 2 ซีก ภายในฝักมีแกนทรงกระบอกเล็ก ๆ ยาวเรียวซึ่งเป็นที่อยู่ของเมล็ด
เมื่อฝักแห้งจะแตกออกและเมล็ดจะปลิวไปตามลม เมล็ดเป็นเมล็ดแห้ง แบน บาง
และมีปีกเป็นเยื่อบาง ๆ สีขาว ยาวออกทางด้านข้าง ขอบปีกเสมอกับตัวเมล็ด
และมีขนาดกว้างประมาณ 0.2-1.0 เซนติเมตร
ด้านสรรพคุณ
-ลำต้นใช้ผสมกับสมุนไพรชนิดอื่น
(ลำต้นกาซะลองคำ, ต้นขางปอย, ต้นขางน้ำข้าว,
ต้นขางน้ำนม, ต้นอวดเชือก)
ใช้ฝนกับน้ำกินแก้ซาง (ลำต้น)
-ลำต้นใช้แก้ซางในเด็กที่มักจะมีเม็ดขึ้นในปากและลำคอ
(ลำต้น)
-ช่วยแก้ลิ้นเป็นฝ้า (ลำต้น)
-ช่วยรักษาอาการปวดฟัน (เปลือกต้น)
-เปลือกต้นใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาลดไข้
(เปลือกต้น)
-ช่วยแก้อาการตัวร้อน (ลำต้น)
-ช่วยแก้อาเจียน (ลำต้น)
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น